เรื่องไม่ลับ ฉบับเครื่องเขียน

เครื่องเขียนเป็นสิ่งที่อยู่กับคนไทยมาแต่ช้านาน แต่เพื่อนๆเคยสังเกตกันหรือไม่ว่าเครื่องเขียนที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ แต่ละรุ่นมีความแตกต่างกันอย่างไร วันนี้ StationeryMINE มีเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆ เกี่ยวกับเครื่องเขียนมาฝากกันจ้า

1. ปากกาแต่ละชนิด ต่างกันอย่างไร? 

ปัจจุบันปากกาในท้องตลาดสามารถจำแนกออกได้เป็น 4 ชนิดใหญ่ๆ ได้แก่ ปากกาลูกลื่น ปากกาโรเลอร์บอล ปากกาเจล และปากกาหมึกซึมBallpoint Pen หรือ ปากกาลูกลื่น ปากกายอดนิยมที่ใครๆก็ต้องมีติดตัว โดยเฉพาะกลุ่มวัยนักเรียน จุดเด่นของปากกาลูกลื่นคือน้ำหมึกที่แห้งเร็วมากๆ และยังมาพร้อมกับความทนทาน ที่สำคัญปากกาลูกลื่นจะราคาไม่สูงนักหากเทียบกับปากกาชนิดอื่น

Gel Pen หรือปากกาเจล ปากกาที่มาแรงแห่งยุค จุดเด่นอยู่ที่ความลื่นไหลในการเขียน น้ำหมึกของปากกาจะผสมกับตัวทำละลายที่มีลักษณะคล้ายเจล น้ำหมึกจะแห้งช้ากว่าปากกาลูกลื่น ทำให้บางครั้งเมื่อเขียนแล้วหากเอามือไปโดนขณะที่หมึกยังไม่เซ็ทตัวหรือแห้ง อาจเปื้อนหรือสกปรกได้ 

Rollerball Pen เป็นปากกาที่มีหมึกเป็นผงหมึกละลายน้ำ สีกับน้ำจะเป็นเนื้อเดียวกัน น้ำหมึกของปากกาโรเลอร์บอลจะแห้งเร็ว มีความหนืดต่ำ ทำให้หมึกแห้งไว ส่วนมากเราจึงเห็นว่าปากกาชนิดนี้จะเป็นชนิดปลอก 

Fountain Pen หรือปากกาหมึกซึม เป็นปากกาที่ต้องบรรจุน้ำหมึกด้วยการดูดเติม หรือใช้หลอดหมึก จุดเด่นของปากกาชนิดนี้อยู่ที่ลายเส้นที่พริ้วไหว สวยงามและมีน้ำหนัก แต่ใช้งานค่อนข้างยาก เพราะมีกลไกมากกว่าชนิดอื่น ปากกาหมึกซึมจึงเป็นที่ชื่นชอบของเหล่านักสะสม 


2. ปากกาเน้นข้อความ กับหมึก fluorescent

Highlighter หรือปากกาเน้นข้อความที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ มีน้ำหมึกแบบเรืองแสงหรือ Fluorescent ซึ่งหมึกชนิดนี้จะทำการดูดซับรังสี UV และปล่อยมาในสเปคตรัมที่ดวงตาของมนุษย์สามารถมองเห็นได้ นอกจากนั้น ยังมาพร้อมหัวสักหลาดที่สามารถกระจายน้ำหมึกได้อย่างสม่ำเสมอ เมื่อลากผ่านทับข้อความแล้ว จะเพิ่มความโดดเด่นสะดุดตาขึ้นมาทันที


3.  ว่าด้วยเรื่อง รหัสของดินสอ

หลายคนส่วนใหญ่จะเข้าใจว่า ไส้ดินสอ ผลิตจากแกรไฟต์ แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่แกรไฟต์เพียงส่วนผสมเดียว แต่ไส้ดินสอมีผงดินเหนียวและน้ำรวมอยู่ด้วย จึงทำให้แกรไฟต์และดินเหนียว เกี่ยวข้องกับคุณภาพของไส้ดินสอ ซึ่งหากแกรไฟต์ผสมดินเหนียวมากเท่าไหร่ ก็จะทำให้ไส้ดินสอนั้นแข็งขึ้นและมีสีอ่อนลง แต่หากเป็นดินสอสี ไส้ดินสอสีก็จะมีเม็ดสีรวมอยู่ด้วย

ซึ่งหากพูดถึงเกรดของดินสอที่เราคุ้นชินอย่าง เช่น HB และ 2B นั้น หลักๆแล้วสามารถจำแนกได้เป็น 3 หมวด ได้แก่ ความแข็งของไส้ดินสอ (Hardness) ความเข้มของดินสอ (Blackness) และ ความละเอียดของเนื้อดินสอ (Fine Point)

ความแข็งของไส้ดินสอ (Hardness) จะใช้แทนด้วยรหัส H ยิ่งตัวเลขหน้ามีจำนวนมาก ก็แสดงว่าไส้แข็งมาก ซึ่งความแข็งของไส้นั้น สามารถแบ่งออกเป็น 3 ระดับคือ แข็งมาก ปานกลาง และอ่อน 

ไส้ดินสอที่อยู่ในเกณฑ์ที่แข็งมากที่สุดแต่ให้ความเข้มของสีดินสออ่อนที่สุด คือ 9H รองลงมาก็มีตั้งแต่ 8H, 7H, 6H, 5H, 4H, 3H, 2H, H, F และ HB ซึ่งเป็นดินสอเกรดที่ได้รับความนิยม เพราะความแข็งของไส้ดินสอที่กำลังพอเหมาะและความเข้มของดินสอเหมาะสมกับการใช้งานในชีวิตประจำวันของผู้ใช้ตั้งแต่ระดับนักเรียน นักศึกษา พนักงานออฟฟิศ และบุคคลทั่วไป สำหรับเกณฑ์ความแข็งของไส้ดินสอปานกลางคือ B  HB  F  H  2H  3H และสำหรับเกรดแข็งน้อยที่สุดคือเกรด 2B-7B

สำหรับค่าความเข้ม (Blackness) จะใช้แทนด้วยตัวอักษร B ยิ่งตัวเลขด้านหน้ามากขึ้นเท่าไหร่ แสดงว่าไส้ดินสอมีความเข้มมากขึ้นเท่านั้น เริ่มตั้งแต่ B, 2B, 3B, 4B, 5B, 6B, 7B, 8B และ 9B ไปจนถึงระดับ EE ในขณะเดียวกันดินสอกลุ่ม B ก็จะมีความแข็งของไส้ดินสอน้อยลงตามตัวเลขที่เพิ่มมากขึ้นด้วย ทำให้ดินสอกลุ่มนี้เหมาะสำหรับการใช้แรเงาหรือวาดภาพเป็นหลัก และผู้ใช้ควรระวังเรื่องการเหลาไส้ดินสอ เพราะไส้ดินสอมีความนิ่มมาก อาจจะหักจากแรงเหลาได้ง่าย ผู้ใช้ควรเหลาด้วยเครื่องเหลาที่คมแต่เบาแรงเพื่อหลีกเลี่ยงการทำให้ไส้หัก หรืออาจจะใช้คัตเตอร์เหลาแทนสำหรับดินสอที่มีไส้ระดับ EE

นอกจากนั้นยังมีเรื่องค่าความละเอียด (Fine) ที่จะใช้รหัส F เป็นตัวแทน ซึ่งไส้ดินสอที่มีตัวเลขหน้า F มากขึ้น เช่น 4F-8F จะเหมาะกับการงานเขียนหรืองานวาดภาพที่ต้องการเส้นที่ละเอียดคมชัดมากกว่าปกตินั่นเอง


สำหรับใครที่ต้องการเลือกซื้อเครื่องเขียนและอุปกรณ์สำนักงานคุณภาพดี สามารถเข้ามาช้อปได้เลยที่ www.stationeryMINE.com